เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
กฎหมายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่น้อยคนนักที่จะเรียนรู้และให้ความสำคัญกับกฎหมาย คนที่รู้มากก็สามารถนำไปใช้ได้ทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็มักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงอยากนำเสนอเกร็ดกฎหมายเล็กๆน้อยๆที่สามารถจะนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน หากท่านใดมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดสามารถนำคำถามต่างๆมาโพสถามได้ เราจะพยายามตอบคำถามและค้นคว้าข้อมูลที่เป็นประโยชน์มานำเสนอแก่ท่านทั้งหลายต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลทั้งหมดจะเป็นประโยชน์แก่ท่านไม่มากก็น้อย หากมมีข้อผิดพลาดประการใดยินดีรับคำชี้แนะของทุกท่าน คุณความดีทั้งหมดข้อยกให้แด่บิดามารดาและครูอาจารย์ทุกท่าน ติดต่อคดีความโทร.0990310273

18 มิถุนายน 2555

ลักษณะการกระทำที่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์

ลักษณะการกระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ พอสรุปได้ดังนี้

1. การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยนั้น หมายถึงการครอบครองทรัพย์ตามความเป็นจริง ส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ยังเป็นของผู้อื่นอยู่ เป็นการครอบครองไว้แทนเจ้าของทรัพย์เท่านั้น ไม่ใช่ครอบครองเพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง

2. จะต้องได้การครอบครองทรัพย์มาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ได้มาแต่เพียงการยึดถือ เช่น ให้ดูแลไว้เพียงชั่วคราว ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์นั้นอย่างแท้จริง ถ้าเบียดบังเอาไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก

3. การครอบครองทรัพย์อาจได้มาโดยตรง คือเจ้าทรัพย์ส่งมอบให้หรือโดยปริยายก็ได้

4. การได้มาซึ่งการครอบครองนั้น ต้องเป็นการมอบให้โดยความสมัครใจของเจ้าของทรัพย์หรือผู้แทนเจ้าของ และต้องไม่ได้เกิดจากการหลอกลวงให้ส่งมอบให้ด้วย มิฉะนั้นเป็นความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์

5. การครอบครองทรัพย์นั้นต้องไม่เป็นความผิดฐานอื่นเสียก่อน ถ้าได้ทรัพย์นั้นมาโดยการกระผิดฐานอื่นมาแล้วไม่เป็นความผิดฐานยักยอกอีก เช่น ลักทรัพย์ หรือฉ้อโกง ทรัพย์นั้นมา แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปขายเสีย ดังนี้ ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกอีก

6. การมอบทรัพย์ให้ไปขายโดยไม่จำกัดว่าจะต้องขายเท่าใด เจ้าของคิดราคาทรัพย์นั้นตามที่กำหนดไว้เท่านั้น จำเลยจะไปขายเท่าใดก็ได้ เพียงแต่ว่าจะต้องใช้ราคาทรัพย์ให้ ดังนี้เป็นการมอบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นให้ไปทั้งหมด เพียงแต่มีความผูกพันธุ์ในทางสัญญาว่าจะต้องใช้ราคาเท่านั้น เมื่อผู้รับทรัพย์ไปขายแล้วเบียดบังเอาไว้เสียไม่ชำระราคา ไม่ผิดฐานยักยอก ถ้ามอบทรัพย์ไปขายในฐานะตัวแทนในการขายเท่านั้น ดังนี้เบียดบังเอาไว้เสียเป็นความผิดฐานยักยอก

7. การฝากเงิน ผู้รับฝากมีสิทธิเอาเงินนั้นไปใช้ได้ แต่จะต้องส่งคืนเต็มจำนวน ถ้าผู้รับฝากเอาเงินนั้นไปใช้เสียหมดแล้วไม่มีคืนให้ ไม่ผิดฐานยักยอก เว้นแต่จะปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากเงินนั้นไว้ ดังนี้ถือว่ามีเจตนาทุจริต ผิดฐานยักยอก

8. การมอบเงินให้ไปกรณีอื่น เช่นการให้ไปชำระหนี้แทน ให้ไปซื้อของมาให้ ให้ไปไถ่ทรัพย์ เป็นต้น ถ้าเบียดบังเอาไปโดยทุจริต มีความผิดฐานยักยอก

9. การรับฝากทรัพย์อื่นๆไว้ แล้วไม่ยอมคืนให้เจ้าของ โดยที่ทรัพย์นั้นยังอยู่ในความครอบครองของตน ยังไม่ผิด จะต้องมีการกระทำอื่นๆที่แสดงว่าได้มีเจตนาทุจริตคิดเบียดบังทรัพย์นั้นด้วย เช่นเอาไปจำหน่าย หรือปฏิเสธว่าไม่ได้รับทรัพย์นั้นไว้ เป็นต้น

10. ทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ถ้าเขามอบกรรมสิทธิ์ให้โดยเด็ดขาดแล้ว การเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปก็ไม่ผิดฐานยักยอก

11. การซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง ถ้ายังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัดหรือทำการอย่างอื่นหรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อันเกี่ยวแก่ทรัพย์สิน เพื่อให้รู้กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน เมื่อได้กระทำการดังกล่าวแล้ว กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อทันทีแม้จะยังไม่ได้ชำระราคา แต่ระหว่างที่ยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์นั้น ความครอบครองยังอยู่กับผู้ขาย ถ้าผู้ขายเบียดบังเอาไว้โดยทุจริต มีผิดฐานยักยอก

12. เกี่ยวกับการเช่าซื้อทรัพย์ ผู้เช่าซื้อทรัพย์นั้นไปไว้ในครอบครอง เมื่อผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อ และไม่ยอมคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อนั้น จะเป็นความผิดฐานยักยอกหรือไม่ต้องดูเจตนาทุจริตและข้อเท็จจริงอื่นประกอบด้วย ถ้าเพียงแต่ไม่ยอมคืนเฉยๆและทรัพย์นั้นยังอยู่ในความครอบครองของผู้เช่าซื้อ เป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น แต่ถ้าเอาไปขายหรือจำนำขาด เป็นผิดฐานยักยอก

13. การเอาทรัพย์ที่รับฝากไปจำนำ จะเป็นความผิดยักยอกหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการเอาไปจำนำนั้นเป็นการจำนำขาดหรือเพียงชั่วคราว ถ้าจำนำเพียงชั่วคราวโดยเจตนาจะไถ่คืนมาดังนี้ ยังไม่ผิดยักยอก

14. การมอบทรัพย์ให้นั้น วัตถุประสงค์ต้องไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่นหนี้ในการพนัน เงินที่ให้เป็นค่าจ้างไปฆ่าคน ผู้รับมอบไปแล้วเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย ไม่ผิดฐานยักยอก

15. การครอบครองทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยแล้วเบียดบังเอาไปเป็นความผิดฐานยักยอก และถ้าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้อื่น เอาไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

16. เจตนาทุจริตเกิดขึ้นขณะใดย่อมเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ไว้แต่ขณะนั้นไม่จำต้องมีการแสดงเจตนา เปลี่ยนลักษณะการครอบครองแทนมาเป็นการครอบครองเพื่อตน โดยเพียงแต่ไปบอกขายทรัพย์นั้นแม้ยังขายไม่ได้ ก็ถือเป็นการเบียดบัง ถือเป็นการยักยอกสำเร็จแล้ว การเบียดบังเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ การเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือบุคคลที่สามก็ได้

17. เจตนาทุจริตเบียดบังทรัพย์นั้นเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ทรัพย์นั้นมาไว้ในครอบครอง แต่อาจมีเจตนาทุจริตมาก่อนได้ เช่น คนใช้คอยโอกาสอยู่ เมื่อนายจ้างมอบให้ก็ยักยอกเอาทรัพย์นั้นไปเสีย

18. ความผิดฐานยักยอกนั้น ผู้ที่ไม่ได้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น ถ้าสมคบกับผู้ที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ ก็มีความผิดฐานสมคบกันยักยอกได้ ไม่ใช่สนับสนุน

19. การส่งมอบทรัพย์ให้แก่ผู้รับมอบทรัพย์นั้น ผู้รับทราบแล้วว่าผู้อื่นนั้นส่งให้โดยสำคัญผิด แต่ผู้รับมีเจตนาทุจริตในทันที ไม่ยอมบอกให้เขาทราบความจริง เป็นความผิดยักยอก แต่ถ้าขณะที่มีการส่งมอบทรัพย์ ผู้ส่งทรัพย์ถามว่า ผู้รับมอบทรัพย์เป็นบุคคลที่เขาต้องการมอบทรัพย์ให้ใช่หรือไม่ ถ้าผู้รับแสดงกิริยา ทำนองตอบรับ เช่น พยักหน้าเป็นการแสดงว่าใช่ เช่นนี้ ผู้รับมีความผิดฐานฉ้อโกง เพราะมีการกระทำที่แสดงออกมาเป็นการหลอกลวงให้ผู้ส่งมอบทรัพย์นั้นหลงเชื่อส่งทรัพย์ให้ไป ไม่ใช่เป็นการยักยอกทรัพย์

20. การที่เจ้าของทรัพย์วางของไว้เป็นที่ แต่เวลาทำกิจการเสร็จสิ้นแล้วลืมทิ้งไว้โดยไม่ได้เอาไปด้วย ไม่ใช่เป็นทรัพย์หาย ผู้เอาทรัพย์นั้นไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะยังไม่ได้สละการครอบครอง

21. ทรัพย์สินหาย เป็นเรื่องที่ทรัพย์นั้นหลุดพ้นไปจากความครอบครองยึดถือของเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องสละการครอบครอง ผู้ใดเก็บเอาทรัพย์นั้นไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหาย ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นรายๆไป คือถ้าเก็บเอาไปโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าทรัพย์นั้นเจ้าของกำลังติดตามหรือจะติดตามเพื่อเอาคืนก็เป็นลักทรัพย์ ถ้าไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ก็เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย

22. ถ้าทรัพย์สินที่ตกหายนั้น เจ้าของสละไปเลย คือไม่ต้องการทรัพย์นั้นอีกต่อไปแล้ว เป็นการสละกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด ย่อมไม่ใช่ทรัพย์สินหาย ผู้เก็บได้ย่อมไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอก

ดูหมิ่นกับหมิ่นประมาทต่างกันอย่างไร?

ข้อแตกต่างที่สำคัญของดูหมิ่นซึ่งหน้า (มาตรา 393) กับหมิ่นประมาท (มาตรา 326) มีดังนี้
        ข้อแตกต่างที่ 1

        ดูหมิ่นซึ่งหน้าเป็นการดูหมิ่น ผู้ที่ถูกดูหมิ่น ซึ่งเป็นการกระทำต่อหน้า ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วยหรือไม่ หากซึ่งหน้าแล้ว เป็นความผิดสำเร็จ (ดูมาตราตามไปนะครับ) แต่หมิ่นประมาทนั้น จะต้องเป็นการใส่ความผู้อื่น ต่อบุคคลที่สาม ดังนั้น บุคคลที่สาม ถือเป็นองค์ประกอบของความผิด ถ้าไม่มีบุคคลที่สาม มารับรู้การกระทำอันเป็นการหมิ่นประมาทนั้นก็ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบความผิด ผู้กระทำจะไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท (หมิ่นประมาทต้องมีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วยหรือต้องมีบุคคลที่3 มารับรู้การหมิ่นประมาท)

        ตัวอย่างที่ 1. ก. ด่า ข. โดยที่ไม่มีบุคคลอื่นอยู่ด้วย อย่างนี้ เป็นความผิดซึ่งหน้า ไม่ผิดหมิ่นประมาท เพราะไม่มีบุคคลที่ 3 ไม่ครบองค์ประกอบความผิด

        ตัวอย่างที่ 2. ก. ด่า ข. โดยมีคนอื่นอยู่ด้วย (บุคคลที่ 3) เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว

        ตัวอย่างที่ 3. ก. ด่า ข. โดยที่ ข. ไม่อยู่ แต่เป็นการไปใส่ความ ข. ให้ผู้อื่นฟัง ก็เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทเช่นกัน

        จากตัวอย่างข้างต้น ขอแนะนำว่า อย่าเพิ่งใส่ใจกับคำว่า ก. ด่า ข. นะเดี๋ยวจะขยาย คำว่า " ด่า " ให้ต่อไป


        ข้อแตกต่างที่ 2

        ดูหมิ่นซึ่งหน้า.......มักจะเป็นคำด่าที่เป็นคำหยาบ ซึ่งเป็นการเหยียดหยามถือว่าอยู่ในข่ายของความผิดมาตรานี้ครับ

        หมิ่นประมาท.........ส่วนมากคำหยาบคาย ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาท เนื่องจากไม่เป็นการลดคุณค่าทางสังคม ของผู้ถูกหมิ่นประมาทลงมา เช่น คำหยาบทั่วไป " ****** ... ***สัตว์ " เป็นต้น ไม่ว่าจะหยาบอย่างไร ก็เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น (เพราะคนทั่วไปที่ได้ฟังคงจะไม่คิดไปว่าคนที่ถูกหมิ่นประมาทนั้นเป็น ****** ... ***สัตว์ จริงๆ ) แต่คำสุภาพบางคำ อาจเป็นหมิ่นประมาท เช่น ก. บอกกับ ข. ว่า เจ้าพนักงานคนนี้ รับเงินใต้โต๊ะจึงจะทำงานให้ จะเห็นว่า ไม่มีคำหยาบคายเลย แต่เป็นการลดคุณค่าทางสังคมของผู้นั้นลงมา ให้ถูกมองว่าเป็นเจ้าพนักงานทุจริต เช่นนี้ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทสำเร็จแล้ว

         ดังนั้นหมิ่นประมาท ส่วนใหญ่เป็นการด่าว่าหรือทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ที่ถูกหมิ่นประมาทเสียหายในเรื่องดังต่อไปนี้ เช่น การทำผิดศีลธรรม (เช่นการประพฤติเสื่อมเสียทางด้าน ชู้สาว) การประพฤติผิดอาญา (เช่น ลักทรัพย์ผู้อื่น) การประพฤติเสื่อมเสียทางด้านหน้าที่การงาน (เช่นทุจริตในหน้าที่การงาน) และ การเงิน(เช่น เป็นคนมีหนี้สินมาก ยืมเงินแล้วไม่ใช้ ) เป็นต้น

        สรุป

        ดูหมิ่นซึ่งหน้า เป็นการพูดด้วยความเกลียดชังตัวผู้โดนด่า เป็นการด่ากันจะ ๆ เลย ต่อจะด่าข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้แต่ขอให้จะ ๆ เช่น ***ควาย ***ชิงหมาเกิด ****** ***สัตว์ ***เ-ดแม่ เป็นต้น

        ส่วนหมิ่นประมาท เป็นการกล่าวกับอีกคนหนึ่งเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้โดนกล่าวถึง ส่วนพูดอย่างไรจึงจะเป็นการหมิ่นประมาทนั้น หลักคือเรื่องที่โดนกล่าวถึงนั้นผู้พูดต้องยืนยันข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จะจริงหรือเท็จไม่สำคัญ แต่เรื่องนั้นต้องเป็นไปได้ แล้วก็ทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงเสียชื่อเสียง โดนดูถูก หรือโดนเกลียดชัง เช่น ด่าว่าได้ควาย อย่างนี้ไม่เป็นหมิ่นประมาทเพราะว่าใครก็รู้ว่าคนไม่ใช่ควาย ******ก็ไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่า***คนนี้มันขี้โกงชอบโขมยของชาวบ้านด้วยเห็นมากับตา หรือคนอย่างมันเป็นชู้กับชาวบ้านไม่เลือก อย่างนี้ก็เป็นการหมิ่นประมาท เพราะคนอื่นที่ได้ยินได้ฟังอาจจะคิดไปได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วมันทำให้คนที่ถูกหมิ่นประมาทเสียหายหรืออาจโดนคนอื่นมองในแง่ไม่ดีนั่นเอง


        ข้อแตกต่างที่ 3

        ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น แม้กระทำต่อผู้ตาย แต่ก็ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทต่อบิดา มารดา บุตร หรือภรรยาของผู้ตายด้วย (ม.327) ซึ่งระวางโทษอย่างเดียวกันกับ ม.326

        ในส่วนนี้ ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ไม่อาจมีได้ครับ เนื่องจากผู้ตาย ตายไปแล้ว การไปด่าผู้ตายโดยที่ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยนั้น อย่างไรก็ไม่เป็นความผิดฐานนี้แน่นอน


        ข้อแตกต่างที่ 4

        ดูหมิ่นซึ่งหน้า ไม่มีเหตุยกเว้นความผิดนะครับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาพิสูจน์ว่า ข้อความนั้นจริง หรือไม่จริง หรือว่าเป็นประโยชน์หรือไม่ ถ้าเป็นดูหมิ่นซึ่งหน้า แล้วผิดเลย จบเลย ไม่ต้องพิสูจน์ต่อ

        ส่วนในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็น หมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่นเรื่องความประพฤติเสื่อมเสียในทางชู้สาว

        ตัวอย่าง นายA พูดกับBว่า นางสาวC นอนกับผู้ชายไม่เลือกหน้า เป็นเหตุให้นางสาว C เสื่อมเสียชื่อเสียง เช่นนี้แม้เรื่องดังกล่าวเป็นความจริงก็ตาม นาย A ก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงเพื่อจะได้รับยกเว้นโทษได้เพราะเรื่องดัวกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เป็นต้น

        ดังนั้นในทางอาญาแม้คำกล่าวหมิ่นประมาทจะเป็นความจริง ผู้ที่กล่าวก็มีความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ ถ้าหากไม่เข้าข้อยกเว้นที่ให้พิสูจน์ได้ จึงมีคำกล่าวว่า ในทางอาญา “ยิ่งจริงยิ่งหมิ่นประมาท” ซึ่งตรงนี้จะต่างจากการหมิ่นประมาทในทางแพ่งที่ว่า หมิ่นประมาททางแพ่ง

        ม.423 “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้

        ดังนั้น หมิ่นประมาททางแพ่ง-ต้องเป็นการกล่าวข้อความที่ฝ่าฝืนความจริง (ไม่จริง)ถึงจะต้องรับผิดในทางแพ่ง แต่ถ้าคำกล่าวนั้นเป็นความจริง แม้จะเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ไม่ต้องรับผิดทางแพ่งแต่ประการใด ส่วนหมิ่นประมาททางอาญา-แม้เป็นความจริงก็อาจเป็นหมิ่นประมาทได้นะ

        ต่างกันตรงนี้

        หมิ่นประมาทนั้นผู้พูดต้องยืนยันข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จะจริงหรือเท็จไม่สำคัญ แต่เรื่องนั้นต้องเป็นไปได้ แล้วก็ทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงเสียชื่อเสียง โดนดูถูก หรือโดนเกลียดชัง เช่น นาย ก. ด่าว่านาง ข. ว่าเป็นชู้กับนาย ค. ต่อหน้าชาวบ้านหลายคน

        ส่วนการ ด่าว่า***ควาย ****** ***เห้ อย่างนี้ไม่เป็นหมิ่นประมาทเพราะว่าใครก็รู้ว่าคนไม่ใช่ควาย *** หรือ***เห้

ฎีกาน่าสนใจ

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2550

การครอบครองที่ดินของผู้อื่น อันจะเป็นเหตุให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 นั้น ต้องเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่นที่ได้ออกโฉนดแล้วเท่านั้น ทั้งจะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีด้วย เมื่อทางราชการเพิ่งออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2539 นับถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสองฟ้องแย้ง ยังไม่ถึงสิบปี จำเลยทั้งสองจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ 

จำเลยทั้งสองจะนับระยะเวลาที่ครอบครองที่พิพาทก่อนที่พิพาทออกโฉนดรวมเข้าด้วยไม่ได้เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้แต่เฉพาะที่ดินมีกรรมสิทธิ์เท่านั้น 

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2547 

การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทานและรับว่าหากกรมชลประทานจะเอาคืน จำเลยก็จะคืนให้เช่นนี้ การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการครอบครองชั่วคราวเท่านั้น มิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ อีกทั้งที่ดินที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ต้องเป็นที่ดินซึ่งบุคคลอื่นมีกรรมสิทธิ์อยู่ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ซึ่งทางราชการเพิ่งออกโฉนดที่ดินให้แก่บริษัท ท. ระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงต้องเริ่มนับเมื่อทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน แต่จำเลยมิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท ท. ว่าตนเองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริตอย่างเป็นเจ้าของ ต่อมาบริษัท ท. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ค. จำเลยกลับมีหนังสือขอซื้อที่ดินไปยังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ค. พฤติการณ์ของจำเลยจึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ค. เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น การอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงมีลักษณะเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของผู้อื่น ซึ่งตราบใดที่จำเลยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังเจ้าของที่ดินว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง แม้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย 



1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685 - 3686/2546 

บริษัท ด. เจ้าของที่ดินได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์จำนวน 11 คูหาขายโดยด้านหลังอาคารมีกำแพงรั้วคอนกรีตสูงประมาณ 2 เมตร กั้นยาวตลอดทั้ง 11 คูหาจำเลยที่ 4 ซื้ออาคารพาณิชย์เมื่อปี 2525 ส่วนจำเลยที่ 5 ซื้ออาคารพาณิชย์เมื่อปี 2536จำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้ต่อเติมรั้วคอนกรีตเดิมซึ่งอยู่นอกโฉนดที่ดินที่ซื้อมาให้สูงขึ้นและมุงหลังคาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร ส่วนโจทก์ซื้อที่ดินมาเมื่อปี 2537 ซึ่งมีเนื้อที่ครอบคลุมรั้วคอนกรีตทั้งหมด ในกรณีรั้วคอนกรีตที่ได้มีการก่อสร้างไว้แล้วเดิมไม่มีบทกฎหมายมาตราใดที่จะยกขึ้นมาปรับแก่คดีได้โดยตรง ในการวินิจฉัยคดีจึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คือมาตรา 1310 ประกอบมาตรา 1314 ซึ่งบัญญัติให้โจทก์เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของสิ่งก่อสร้าง โจทก์จึงเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตเดิม ส่วนรั้วคอนกรีตที่ต่อเติมให้สูงขึ้นและสิ่งปลูกสร้างด้านหลังอาคารพาณิชย์ ที่ต่อเติมขึ้นภายหลังไม่ใช่การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น หรือสร้างโรงเรือนหรือสิ่งก่อสร้างอื่นในที่ดินของผู้อื่น แม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 จะกระทำไปโดยสุจริต ก็ไม่มีสิทธิใช้ที่ดินของโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 1312 และมาตรา 1310 ประกอบมาตรา 1314 จึงต้องรื้อออกไป 

ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกัน 5 คดี โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารอัตราสูงสุด 200 บาท แม้จะไม่ครบถ้วนก็ไม่มีบทกฎหมายให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะอ้างเอกสารเป็นพยานประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ก็บัญญัติเพียงว่าห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความมิได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงเท่านั้นทั้งยังยกเว้นไว้ด้วยว่าถ้าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีแม้จะฝ่าฝืนบทบัญญัติในอนุมาตรานี้ก็ให้ศาลมีอำนาจที่จะรับฟังได้ ดังนั้นการที่ศาลรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่ชอบ 
 

6 มิถุนายน 2555

กฎหมายมรดก


๑. กองมรดก คืออะไร

กองมรดกคือทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน เสื้อผ้า หรือแม้แต่ของใช้ส่วนตัว แม้แต่ทองที่ครอบฟันไว้ ก็เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของผู้ตาย ซึ่งเมื่อบุคคลใดตายแล้วย่อมอยู่ในความหมายของกองมรดกด้วย

นอกจากทรัพย์สินแล้ว ยังรวมถึงบรรดาสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในวันที่ตายหรือที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้าภายหลังจากที่ตายแล้วด้วย เช่นทำสัญญาเช่าบ้านมีกำหนดสิบปี เช่าไปได้สองปีแล้วเกิดตายลง สิทธิที่จะเช่าบ้านนั้นต่อไปอีก ๘ ปี ก็จะตกเป็นกองมรดก ในขณะเดียวกันหน้าที่หรือความรับผิดในการชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ก็ดี หรือที่จะชำระต่อไปในวันหน้าก็ดี ล้วนตกเป็นกองมรดกด้วยกันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามบรรดาสิทธิ หน้าที่ หรือความรับผิด ที่ตามกฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตาย ย่อมตายตามตัวผู้ตายไปด้วยไม่ตกทอดไปถึงทายาท เช่นทำสัญญาว่าจะไปเล่นลิเกให้ชมในอีกสิบวันข้างหน้า หรือไปตกลงรับจ้างวาดรูปไว้ แล้วเกิดตายเสียก่อนเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าโดยสภาพแล้วเป็นเรื่องเฉพาะตัว จะมากะเกณฑ์ให้ทายาทต้องไปเล่นลิเกแทนผู้ตายย่อมไม่ได้ แต่ถ้าบังเอิญผู้ตายไปรับเงินค่าตัวเขามาก่อนแล้ว ก็กลายเป็นหนี้ที่ทายาทจะต้องชดใช้คืนให้แก่ผู้จ้าง

เมื่อกฎหมายกำหนดว่ากองมรดกนั้นประกอบไปด้วยทั้งทรัพย์สินและหน้าที่และความรับผิดด้วยเช่นนี้ มิกลายเป็นว่าถ้ากองมรดกมีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ทายาทที่จะรับมรดกไปมิต้องกลายเป็นลูกหนี้ไปด้วยหรือ เรื่องนี้กฎหมายมิได้ใจไม้ไส้ระกำถึงขนาดนั้น เพราะได้กำหนดไว้แล้วว่าไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไร ทายาทก็ไม่จำต้องรับผิดเกินทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน เรียกว่าอย่างแย่ที่สุดก็เพียงเสมอตัว คือไม่ได้อะไรเลย

ที่ว่าทรัพย์สินของผู้ตายนั้น ต้องเข้าใจว่าหมายถึงทรัพย์สินที่เป็นของผู้ตายจริง ๆ ไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดที่สามีภริยามีอยู่ร่วมกัน เมื่อบุคคลใดตายทรัพย์สินที่มีอยู่ระหว่างสามีภริยาจะต้องแยกออกจากกันเสียก่อน ส่วนของใครก็เป็นของของคนนั้น จะทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้แต่จะต้องยกเฉพาะส่วนที่เป็นของตนเท่านั้น ถ้าไม่มีพินัยกรรม และทรัพย์สินจะตกได้แก่ทายาทโดยธรรม ทรัพย์สินที่จะตกไปย่อมจำกัดอยู่แต่เฉพาะส่วนที่เป็นของผู้ตาย ไม่รวมถึงส่วนที่เป็นของคู่สมรสด้วย

เมื่อคู่สมรสคนหนึ่งตายไป การสมรสย่อมสิ้นสุดลง ทรัพย์สินที่ทั้งสองมีอยู่ด้วยกันย่อมแยกออกจากกันโดยผลของกฎหมาย แม้ว่าในความเป็นจริงทรัพย์สินทั้งหมดจะยังอยู่รวม ๆ กัน บางชิ้นก็เป็นชื่อของคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทรัพย์สินนั้นจะเป็นของคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว

การที่คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับทรัพย์สินส่วนของตนแยกมา มิได้หมายความว่าคู่สมรสดังกล่าวได้รับมรดก หากแต่เป็นการได้ทรัพย์สินของตนคืนมา ส่วนของผู้ตายนั้น คู่สมรสจึงจะไปรับมาในฐานะมรดกอีกต่อหนึ่ง เช่น เมื่อสามีตาย มีเงินอยู่ในบัญชีของสามี ๑๐๐ ล้านบาท ถ้าเงิน ๑๐๐ ล้านบาทนั้นได้มาในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันโดยไม่ใช่เป็นสินส่วนตัวของสามี เมื่อสามีตาย เงิน ๑๐๐ ล้านจะถูกแบ่งระหว่างสามีและภริยาคนละ ๕๐ ล้าน ส่วนของสามี ๕๐ ล้านจะตกเป็นทรัพย์มรดก นำมาแบ่งกันในระหว่างผู้เป็นทายาท ซึ่งแม้ภริยาจะไม่ได้เป็นทายาท แต่ก็มีสิทธิได้รับมรดกเช่นเดียวกับทายาท เช่น ถ้าผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ และมีลูก ๔ คน เงิน ๕๐ ล้านนั้นจะแบ่งระหว่างภริยาและลูก ๆ คนละ ๑๐ ล้าน ตกลงภริยาจะได้เงิน ๖๐ ล้าน (คือ ๕๐ ล้านในฐานะที่เป็นทรัพย์สินของตนที่แยกออกมา และอีก ๑๐ ล้านในฐานะที่เป็นมรดก) และลูก ๆ ได้คนละ ๑๐ ล้าน

ถ้าผู้ตายเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินของท่านที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ท่านจะทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้ แต่ถ้าท่านไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินเหล่านั้นจะตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของท่าน โดยจะไม่ตกไปยังทายาทโดยธรรมทั้งปวง แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ท่านมีอยู่ก่อนอุปสมบทย่อมตกไปเป็นของทายาทได้เช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป